เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมเพื่อสัจธรรม เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง ชีวิตนี้มาจากไหน ถ้าชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตนี้ ถ้ายุคหิน ยุคน้ำแข็ง ยุคตั้งแต่ก่อนเกิดโลก ชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตมาจากไหนก็มาจากกิ้งกือ มาจากไส้เดือนไง ชีวิตนี้มาจากไหน
แต่ศาสนามาจากไหน ศาสนามาจากไหน ศาสนา ศาสนามาตั้งแต่วันวิสาขบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมด้วยวิชชา ๓ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนอดีตชาติไปไม่มีต้นไม่มีปลาย ถ้าย้อนอดีตชาติไปไม่มีต้นไม่มีปลาย นั่นน่ะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ายังไม่สิ้นสุด จุตูปปาตญาณ ชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตนี้มาจากไหน จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้ามันไม่สิ้นกิเลสแล้ว มันต้องเกิดของมันโดยเวรโดยกรรม
อาสวักขยญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระล้างกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นไง ศาสนามาจากไหน เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามีคุณค่ามากๆ มีคุณค่าสำหรับชีวิตนี้ เวลาว่าชีวิตนี้มาจากไหน มาอยู่เพื่อทำไม แล้วสิ้นสุดแล้วไปไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาอนาคตังสญาณบอกไว้หมด
ฉะนั้น เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว เรามีคุณค่ามากน้อยขนาดไหน ถ้าเรามีคุณค่ามาก มีคุณค่า มีคุณค่ามันก็มีความสำนึกไง มีความสำนึกก็แสวงหาคุณงามความดีเพื่อเราๆ
เรามาศึกษาพระพุทธศาสนา ปริยัติ การศึกษา ศึกษามาทรงจำธรรมวินัยไว้ๆ ทรงจำไว้ มันไม่ได้ชำระล้างกิเลส ยิ่งถ้าทรงจำไว้ กิเลสมันหนา ยิ่งเอาความรู้เป็นความรู้ของข้า ข้ามีความรู้มาก มีความรู้ในพระพุทธศาสนาๆ จะสังคายนาๆ
สังคายนาในใจมึงยังไม่รู้จัก มึงเห็นหัวใจตัวเองไหม มึงรู้จักคุณค่าของศาสนาไหม ถ้าคุณค่าของศาสนา คุณค่าของศาสนามันอยู่ที่ไหน คุณค่าของศาสนามันอยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ไง แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ สัตว์ผู้ข้อง ผู้เกี่ยวข้อง ผู้ติดข้องในวัฏฏะ ผู้เกี่ยวข้องในวัฏฏะนะ มันด้วยจินตนาการ ด้วยตัณหาความทะยานอยาก มีแรงปรารถนาอยากได้อยากดี อยากใหญ่อยากโต อยากทั้งนั้นน่ะ ถึงที่สุดแล้วก็อยากจะไปนิพพาน พอไปนิพพานแล้วก็ว่าไปนิพพานแล้วก็เหือดแห้ง ไปแล้วไม่มีความสุขไง
มันไม่รู้จักวิมุตติสุขๆ สุขอย่างนี้สุขอย่างยั่งยืน สุขอย่างจริงแท้ สุขจริงๆ แล้วไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นี่ไง ถ้าคนเรามีอำนาจวาสนามันจะมีความคิดของมันอย่างนั้นไง ถ้ามันมีความคิดอย่างนั้น
เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปชวนสัญชัยมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อมาศึกษาไง สัญชัยบอกเลย ในโลกนี้คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก คนโง่มาก คนโง่มากไม่มีพื้นฐาน ไม่มีหลักเกณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น เชื่อฟังเขาไปหมด ใครจะชักจูงอะไร ไปทั้งนั้น
แต่ถ้าคนฉลาด คนฉลาดไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะชวนลูกศิษย์ลูกหาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝึกสอนจนได้มาเป็นพระอรหันต์ ความเป็นพระอรหันต์ของพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรเป็นหลัก เป็นเสนาบดีแห่งธรรม เป็นผู้มีฤทธิ์ในพระพุทธศาสนา เพื่อช่วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมๆ ไง ถ้าการเผยแผ่ธรรม
ถ้าคนฉลาด คนฉลาดเขาต้องเชื่อฟัง ต้องเชื่อในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าไปเชื่อบุคคลที่มันแสวงหาเพื่อผลประโยชน์ ทรงจำธรรมวินัยไว้ๆ ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่นท่านให้เจ้าคุณจูมธรรมเจดีย์เข้าไปศึกษา คนที่มีการศึกษา คนศึกษามาแล้วเพื่อประโยชน์ เวลาเจ้าคุณจูมเจ้าท่านเป็นเจ้าคณะภาค ท่านบอกเลย เราไม่อยากเป็นเจ้าคณะภาคหรอก แต่ที่เป็นๆ อยู่นี่เพื่อคุ้มครองดูแลไง ไม่ให้เขามารังแกกรรมฐานๆ ไง เพราะกรรมฐานไม่มีใครคุ้มครอง ไม่มีใครดูแลรักษาไง เจ้าคุณจูมธรรมเจดีย์ท่านบอกท่านเป็นเจ้าคณะภาคไว้ก็เพื่อคุ้มครองดูแลไม่ให้เขามารังแก ไม่ให้เขารังแก ทำไมเขารังแกล่ะ ก็ศึกษาธรรมวินัยขององค์ศมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วไง
ถ้าศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาเป็นเจ้าของศาสนาด้วยกันทั้งสิ้น ถ้าภิกษุที่บวชมาในพระพุทธศาสนาแล้วก็ต้องมีความเมตตามีความกรุณา ทำไมเจ้าคุณจูมธรรมเจดีย์ท่านถึงบอกล่ะ เราไม่อยากเป็นเจ้าคณะภาคเลย แต่ที่เราเป็นอยู่นี่ เป็นอยู่นี่เพราะอะไร เป็นเพื่อคุ้มครองดูแลไม่ให้เขามารังแกกรรมฐานๆ
นี่ไง เวลาหลวงปู่มั่นอนาคตังสญาณ หลวงปู่มั่นเวลาท่านบอกเลย เณรน้อยนี้สมควรที่จะไปศึกษา ส่งไปศึกษา ศึกษาจนได้เปรียญ ๖ ประโยค แล้วได้ทำคุณงามความดีในพระพุทธศาสนา คุ้มครองดูแลให้พระได้มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติไง
เวลาพระที่ประพฤติปฏิบัติมันเหมือนคนแสวงหาคนทำงาน คนทำงาน เรื่องผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา คนทำงานทุกคนมันต้องมีความผิดพลาดอยู่แล้ว แต่ถ้าความผิดพลาดอยู่แล้ว ถ้าเป็นสุภาพบุรุษ ถ้าความผิดพลาดอยู่แล้ว ถ้าเราเข้าใจความผิดพลาดนั้นแล้วเราควรจะละทิ้งความผิดพลาดนั้นไปเพื่อทำความสงบสุข ทำความดีไง แต่ด้วยทิฏฐิมานะของคน ถ้าความผิดพลาด ถ้าคนมีอำนาจมีความผิดพลาดมันยิ่งว่ามันถูกต้องไง ถ้าใครมาชี้ถึงความผิดพลาดของผู้มีอำนาจ คนนั้นหัวขาดไง นี่ไง ถ้ามันไม่เป็นธรรม มันไม่เป็นธรรมของมันอย่างนั้นไง
ถ้าเวลาเป็นธรรมๆ เขาแสวงหา แสวงหาครูบาอาจารย์ที่ดี แสวงหาครูบาอาจารย์ที่เป็นความถูกต้องดีงาม แล้วครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องดีงาม ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดถึงหลวงตา “หมู่คณะให้จำไว้นะ ให้พึ่งมหานะ มหาดีทั้งนอก ดีทั้งใน”
นอก นอกคือความเป็นอยู่นี่ไง ดูสิ ความเป็นอยู่ของท่าน คนจนผู้ยิ่งใหญ่ มีบริขาร ๘ ของท่าน แต่สิ่งที่เป็นบริขาร ๘ สิ่งที่ได้มา ได้มาก็ได้เพื่อโลก สิ่งที่ได้มา ได้มาจากโลก ก็เอาไว้กับโลกนี้ โลกนี้ก็เป็นกับโลกนี้ไง
แต่ภายในล่ะ ถ้าภายในไม่มี ภายนอกมันจะเกิดมาได้อย่างไร ถ้าภายนอกมี มันเกิดจากสุภาพชน สุภาพชนคนที่ดีนะ เขาก็รักษาวินัยไว้ได้ แต่ถ้ารักษาไว้ไม่ได้ รักษาไว้ไม่ได้เพราะอะไร รักษาไว้ไม่ได้เพราะกิเลสมันกัดกร่อนหัวใจไง โอ้โฮ! รถเบนซ์ แหม! รถนำมาด้วยนะ เปิดประตูรถ ใครจะลงมาน่ะ โอ้โฮ! เจ้าคุณ สุดยอด
นั่นมันไปออยู่ตรงนั้นหมดน่ะ มันไปเห็นโลกเป็นใหญ่ๆ ไง ถ้าโลกเป็นใหญ่นะ เห็นขบวนของเขาใหญ่โต
เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาของท่านมีบริขาร ๘ เท่านั้น สิ่งที่ถ้าภายนอก ถ้าภายในเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ภายนอกมันก็เป็นหลักเป็นเกณฑ์ เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นหลักเป็นเกณฑ์ขึ้นมา เราหาครูบาอาจารย์ที่เป็นอย่างนั้น ถ้าหาครูบาอาจารย์ที่เป็นอย่างนั้น
นี่ไง ชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตนี้มาจากกรรม กรรมคือการกระทำ ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การกระทำของเราแล้ว ทำแต่ละภพแต่ละชาติ ความทำแต่ละภพแต่ละชาติย้ำคิดย้ำทำเป็นจนเป็นจริตเป็นนิสัยของเธอ ถ้าเธอย้ำคิดย้ำทำ การกระทำอย่างนั้นทำซ้ำทำซาก ทำซ้ำทำซากจนเป็นความเคยชินในใจนั้น ความเคยชินในใจนั้นมันก็คิดแบบที่การกระทำอันนั้น การกระทำนั่นน่ะย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตจนเป็นนิสัย แล้วเวลาเกิด นี่ไง เกิดมืดไปสว่าง เกิดสว่างไปมืด เวลาเกิดสว่างมา เกิดมาด้วยอำนาจวาสนา ด้วยบุญกุศล
นี่เรามาทำบุญกุศล เวลามาทำบุญกุศล ในสุตตันตปิฎก เวลาเทวดาไปเกิดเป็นเทวดา เขาบอกว่าทำไมเขามาเกิดเป็นเทวดา เอ๊ะ! เราเกิดเป็นเทวดาเพราะอะไร เราไม่รู้เลยว่าเราเกิดเป็นเทวดาได้อย่างไร
อ๋อ! เพราะเทวดาเขาหูทิพย์ตาทิพย์ เขาเห็นได้ไง อ๋อ! เราเคยใส่บาตรองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราได้เคยทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เวลาทำบุญกุศล บุญกุศลนั้นน่ะเป็นอามิส เป็นแรงขับ แรงขับให้มาเกิดเป็นเทวดา นี่ไง เทวดา แล้วมาเกิดได้อย่างไร อยู่ในสุตตันตปิฎกมากมาย
นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาจากไหน เราเกิดมาจากไหน เราเกิดมาจากการกระทำไง เราทำคุณงามความดีมาเราถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ไง เวลาเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา เกิดมา เกิดมาสว่างไง เกิดมาสว่าง แต่ด้วยจริตนิสัย ด้วยคุณงามความดีได้สร้างสมมาอ่อนแอไง พอมาสว่างแล้วมันก็จะไปมืดไง ไปมืดมันก็เอาตามแต่ใจของตนไง อะไรที่มันสะดวก อะไรที่มันสบาย อะไรที่มีขบวนนำหน้าตามหลัง โอ้โฮ! สุดยอด
ขบวนนำหน้าตามหลังนะ เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดเลย เราทำหนังสือขอได้ทั้งนั้นน่ะถ้าใครมีความจำเป็น แล้วถ้าไม่ต้องขอด้วย ดูสิ คนไปช็อกตาย สลบตายที่นั่นน่ะ เรียกหน่วยแพทย์มา โอ๋ย! แป๊บๆๆ มาเลย มีขบวน มันมีประโยชน์อะไร
ถ้ามันไม่มีประโยชน์อะไรนะ ไอ้ตัวคันๆ ในใจนั่นน่ะ ถ้าไอ้ตัวคันๆ ในใจมันไม่แสวงหาอย่างนั้นนะ มันไม่ต้องการอย่างนั้น ถ้ามันไม่ต้องการอย่างนั้น ไปไหนเราก็ไปได้ คนเหมือนกัน เกิดมาสว่าง อย่าไปมืด เกิดมาสว่างมาแล้วก็ให้มันสว่างไป แต่สิ่งที่สว่างมาแล้วสว่างไปมันต้องมีจุดยืน มันต้องมีมาตรฐานของมัน ถ้ามันมีมาตรฐานของมัน
นี่ไง กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตเป็นนิสัยของเธอ ถ้าเป็นจริตเป็นนิสัยของเธอ ถ้าเธอได้ย้ำคิดย้ำทำ ได้ตัดแต่งพันธุกรรมที่ดีมา ทำที่ดีมาสิ่งนั้นมันจะมีจุดยืนของมัน สิ่งใดที่เป็นคุณงามความดี เราจะทำคุณงามความดีนั้น ถ้าทำคุณงามความดีนั้น ความดีทำมาทำไม ทำความดีเพื่อความดีไง ทำความดีไม่ต้องให้โลกสรรเสริญยกย่องไง
เราทำความดีมาทั้งชีวิตเลย ไม่มีใครรู้จัก เราทำความดีมาทั้งชีวิตเลย ไม่มีใครหันหน้ามามองสักคน นี่ไง มันต้องเป็นอย่างนั้นด้วยหรือ ทำความดีทิ้งเหวๆ สิ ทำความดีก็คือความดี ความดีที่ยิ่งใหญ่ไง ถ้าความดีไม่ยิ่งใหญ่นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาทำทุกรกิริยาอยู่มหาศาลเลย โลกคิดได้แค่นั้นไง โลกคิดว่าทำทุกรกิริยาคือการประพฤติปฏิบัติค้นคว้าในการเข้มข้นกับการปฏิบัติในสมัยนั้น ทำจนถึงที่สุดนะ มันไม่ใช่ทางๆ สลบถึง ๓ หน อย่างไรก็ไม่ได้ๆ จะมาฟื้นฟูร่างกาย ไปฉันอาหารของนางสุชาดา ปัญจวัคคีย์ทิ้งไปหมดเลย
นี่ไง ทำความดีมา ปฏิบัติมา ๖ ปี ผู้ที่อุปัฏฐากอยู่มาด้วยกันยังทิ้งเลย ไม่มีใครเอา นี่อยู่คนเดียว เพราะต้องอยู่คนเดียว เวลาวันวิสาขบูชาอยู่โคนต้นโพธิ์นั่นน่ะ เวลาตรัสรู้ ตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ นี่ในความรู้ความเห็นในทางปริยัติในการศึกษานะ ก็ใช่ในสถานที่ แต่เวลาจริงๆ แล้วตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ไง ภวาสวะ ภพ สัมมาสมาธิ จิตตภาวนา ไม่มีใครรู้จักหรอก เวลาพูดทางวิชาการก็พูดทางทฤษฎีทั้งนั้นน่ะ แต่มันไม่รู้จักใจของมัน ไม่รู้จักภาวนามยปัญญา ไม่รู้จักการเคลื่อนไปของศีล สมาธิ ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
เวลาตรัสรู้จริงๆ ตรัสรู้ด้วยมรรค มรรค อาสวักขยญาณในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระอวิชชาความไม่รู้ในหัวใจทั้งหมดทั้งสิ้น สิ่งที่เป็นจริงๆ สิ่งที่เป็นจริงมันเกิดที่นี่ ถ้ามันเกิดที่นี่ นี่ไง ผู้เดียวเท่านั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้องค์เดียวเท่านั้น เวลาสอน ๓ โลกธาตุ นี่ ๒,๐๐๐ กว่าปีไง
ชีวิตนี้มาจากไหน ไม่มีต้นไม่มีปลาย ศาสนามาจากไหน มาจากอินเดีย มาจากแม่น้ำเนรัญชรา นี่ไง ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว ๒,๐๐๐ กว่าปีนะ แล้วศาสนาเจริญแล้วเสื่อม แล้วจะเสื่อมไปข้างหน้า จะเสื่อมไปข้างหน้าเพราะอะไร เพราะมันลึกลับซับซ้อนจนคนทำไม่ได้
ในปัจจุบันนี้ ดูสิ ทุกอย่างมหัศจรรย์เลอเลิศ โอ้โฮ! เลอเลิศ หันไปมองข้างนอกหมดเลย ไม่รู้จักใจของตน ไม่รู้จักสิ่งที่มันทุกข์มันยาก เวลามันทุกข์มันยาก หัวใจมันทุกข์มันยาก เงินทองล้นฟ้านะ เศรษฐีเงินทองของเขาทับเขาตายได้เลย แต่เขาไม่มีความสุข มันแสนทุกข์แสนยาก มันบีบคั้นหัวใจ
เวลาคนหาเช้ากินค่ำ แต่ถ้ามีจิตใจที่เป็นธรรม นี่ไง ก็เราทำมาอย่างนี้ เรามีสติปัญญาอย่างนี้ ชีวิตเราก็อยู่ได้ด้วยความสะดวกสบายของเราอย่างนี้ มันมีความสุขของมันน่ะ นี่ไง เวลาสุขเวลาทุกข์มันสุขทุกข์ที่หัวใจนี้ ถ้าหัวใจนี้ แต่คนก็ยังไม่รู้จักหัวใจนี้หรอก บอกก็ทุกข์ๆๆ ไง มันจะไปอยู่ที่ทุกข์ ไปอยู่ที่อารมณ์ไง มันไปอยู่ที่อารมณ์ มันพยายามจะผลักไสอารมณ์นั้นทิ้งไป แล้วอารมณ์นี้มันทิ้งไปได้อย่างไรล่ะ มันเป็นไปไม่ได้ไง นี่ความคิดแบบโลกๆ ไง แล้วเวลาภาวนา ภาวนาก็ภาวนาด้วยอารมณ์ทั้งนั้นน่ะ ดูจิตๆ ก็ดูอารมณ์ทั้งนั้นน่ะ เวลาใช้ปัญญา ปัญญาก็อารมณ์ความรู้สึกทั้งนั้นน่ะ ไม่เป็นจริงสักอย่าง เพราะความไม่เป็นจริงสักอย่างพระพุทธศาสนาถึงไม่เด่นชัดขึ้นมาไง
ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เวลาพระพุทธศาสนาไปเบ่งบานในใจของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเวลาว่ากล่าวลูกศิษย์ลูกหา บอกแนวทางช่องทางประพฤติปฏิบัติชี้ตรงเข้าไปสู่กิเลสของคน ชี้ตรงเข้าไปสู่หัวใจของคน เพราะอะไร เพราะท่านทำในใจของท่าน ท่านถึงชี้ธรรมะเข้าไปสู่ใจของคน พอสู่ใจของคน นี่ไง มันถึงมีผู้ที่ชี้ถูกต้อง มีผู้ที่ชี้ได้ชัดเจนขึ้นมา ศาสนามันถึงมั่นคงมานี่ไง
ตัวศาสนามันคืออะไร ตัวศาสนานะ ตู้พระธรรม ตู้พระธรรมนี้มันก็จดจารึกธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเวลาเขาทำหอไตรเขาเอาไว้กลางน้ำเพราะกลัวปลวกไง ปลวกมันกินหมดนะ ไอ้เราอ่าน อ่านจำเฉยๆ ปลวกมันกินหมด ใบลานบาลี ปลวกมันกินหมดเลย นั่นไง พระธรรมนั่นหรือ ไอ้นั่นทฤษฎี ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นเป็นศาสดาของเรา ศาสดาของเราคือความหมาย คือการชี้มา
แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ธรรมะต้องเป็นของเราสิ ศีล สมาธิ ปัญญาก็ต้องเป็นของเราสิ มันต้องปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงของเราขึ้นมานี่ ถ้ามันเป็นจริง เราทำขึ้นมาเพื่อหัวใจของเราไง
นี่ไง ชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตนี้มาจากการกระทำ มาจากกรรมดีกรรมชั่ว แต่จิต จิตนี้ไม่มีต้นไม่มีปลาย แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะมาจากไหน ธรรมะมาจากอำนาจวาสนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สร้างสมอำนาจวาสนามา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย แล้วรื้อค้นขึ้นมาในใจของท่าน กราบธรรมๆ กราบธรรมอย่างนั้นไง
แล้วศาสนามีเจริญแล้วเสื่อมๆ นะ มันจะเสื่อมไปข้างหน้า พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้อยู่ข้างหน้านั้น เพราะผู้ที่สร้างคุณงามความดีมหาศาล ฉะนั้น สิ่งที่มันแปรปรวน สิ่งที่มันเป็นอนิจจังที่มันแปรปรวนไปตลอดเวลา เรา คนเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาไปโรงพยาบาล ต้องการพบแพทย์ที่ดี แล้วแพทย์ก็ตายไปหมดแล้ว วันหลังไม่สบาย รักษากันเองนะ
นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ของเราท่านก็ล่วงไปๆ นะ ถ้ามันคิดได้อย่างนี้แล้วมันจะกระตุ้นให้เราขวนขวาย อย่า อย่านอนใจ คำว่า “นอนใจ” ก็เหมือนยอมจำนนน่ะ แต่ถ้าเราทำของเราจริงๆ ขึ้นมา เราขวนขวายของเรา ได้มากได้น้อยเราก็ทำของเรา เรามีสติมีปัญญานะ
หลวงปู่ฝั้นท่านพูดประจำ “หายใจทิ้งเปล่าๆ” คำนี้มันสะเทือนใจเรานะ หายใจทิ้งเปล่าๆ หมายถึงมนุษย์ มนุษย์เกิดมาต้องมีลมหายใจ ไม่มีลมหายใจก็คือคนตาย แต่เวลาเปรียบเทียบทางธรรม หายใจทิ้งเปล่าๆ มีสติสัมปชัญญะกำหนดมันก็เป็นอานาปานสติ แต่เราไม่กำหนด เราไม่มีสติควบคุมดูแลก็หายใจทิ้งเปล่าๆ ทั้งๆ ที่หายใจเพื่อดำรงชีพ แต่ในธรรมยังมองว่าหายใจทิ้งเปล่าๆ เลย
คำว่า “หายใจทิ้งเปล่าๆ” คือเกิดมาเปล่าๆ เกิดมาไร้สาระ เกิดมาเพื่อแข่งขันกับทางโลก เกิดมาเพื่อแสวงหา แต่ไม่ได้เกิดมาเพื่อหัวใจของตน ถ้าเกิดมาเพื่อหัวใจของตนคือใจดวงนั้นตั้งสติปัญญาขึ้นมา แล้วกำหนดลมหายใจเข้าตั้งสติเป็นอานาปานสติฝึกฝนใจของตน สร้างสมบุญญาธิการในใจของตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกผู้ที่มีสติสัมปชัญญะ ๑ นาทีดีกว่าคนที่ประมาทในชีวิตทั้งชีวิตเลย ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา ฟังธรรมเพื่อเราไง
ดูความเปลี่ยนแปลงของโลก มีเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ เวลามันเสื่อม เสื่อมทราม ครูบาอาจารย์ของเราก็พยายามขวนขวายให้มันมั่นคงขึ้นมา พอมั่นคงขึ้นมามันก็มีสังคมนับหน้าถือตาเชื่อถือ พอเชื่อถือไป กิเลสมันก็พองตัว แล้วด้วยความลืมตัวมันก็ทำเสื่อมทราม เห็นไหม เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ แล้วเรามีสติสัมปชัญญะหรือไม่ เราระวังตัวเราหรือไม่ เราเห็นความเปลี่ยนแปลงแล้ว แล้วชีวิตของเรา เราจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง
เราเกิดเป็นชาวพุทธ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นพระรัตนตรัย เป็นแก้วสารพัดนึก เราจะต้องทวนกระแสกลับเข้ามาสู่หัวใจของเรา รักษาหัวใจของเรา ให้เป็นพุทธ ธรรม สงฆ์ในใจของเรา เอวัง